ไก่พื้นเมืองกับกีฬาชนไก่ ความนิยมที่ถูกสานต่อจากบรรพกาลสู่ปัจจุบัน ที่ส่งต่อความนิยมไปในระดับอินเตอร์ ผลักดันมูลค่าทางเศรษฐกิจไทยทะยานมากกว่า 9.8 พันล้านบาทและส่งออกปีละ 60 ล้านบาท จากการอนุรักษ์พันธุ์ไก่พื้นเมืองขยายไปสู่การสร้างรายได้ให้เกษตรกร
ไก่พื้นเมือง เป็นสัตว์ปีกที่อยู่กับเกษตรกรไทยมาช้านาน สร้างเศรษฐกิจในครัวเรือนอย่างมหาศาล ด้วยลักษณะที่สวยงามและมีนิสัยที่รักการต่อสู้ ไก่พื้นเมืองจึงถูกนำมาเลี้ยงด้วยวัตถุประสงค์อื่นๆ เป็นการเลี้ยงเพื่อเพิ่มมูลค่า ได้แก่ การเลี้ยงเป็นไก่สวยงามเพื่อการประกวด และการเลี้ยงไว้ต่อสู้เชิงกีฬา ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของชาวชนบทไทยในอดีต หลังจากเสร็จจากการทำไร่ทำนา ตามคำกล่าวที่ว่า “ชาวชนบทไทยเสร็จจากไร่นา ก็มากัดปลาตีไก่”
ในปัจจุบันการเลี้ยงไก่เพื่อนำไปตีหรือชนมีข้อจำกัดมากมายทั้งในด้านกฎหมาย ด้านการยอมรับของสังคม แต่การเลี้ยงไก่เพื่ออนุรักษ์สายพันธุ์ โดยการประกวดไก่ตามลักษณะมาตรฐานและอุดมทัศนีย์ที่กำหนด มีแนวโน้มสูงขึ้น ตลาดมีความต้องการสูง ได้รับความนิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศ (แถบตะวันออกกลาง) ทำให้ไก่พื้นเมืองไทยมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 100-1,000 เท่า เป็นการอนุรักษ์สายพันธุ์ไก่พื้นเมืองไทยดั้งเดิมให้คงอยู่ จึงสามารถเลี้ยงเป็นอาชีพได้อย่างมั่นคง เป็นสัตว์เอกลักษณ์ประจำถิ่นหลายพื้นที่ในประเทศไทย เช่น เหลืองหางขาว (พิษณุโลก) ประดู่หางดำ (สุโขทัย) แสมดำ (พิจิตร) เขียวหางดำ (อุตรดิตถ์และฉะเชิงเทรา) เทาหางขาว (ตาก) ด่าง (แพร่) แดง (อุดรธานี) เป็นต้น
ดร.ปรีชา ไข่แก้ว ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการพัฒนาสายพันธุ์ไก่ชน และเจ้าของฟาร์มไก่ชนชื่อดังที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ กล่าวว่า ปัจจุบันตนเป็นผู้ประกอบการฟาร์มไก่ชน 3 แห่ง ได้แก่ ฟาร์มบิ๊กบูม ที่จังหวัดกาญจนบุรี ฟาร์มบิ๊กบูม ที่อำเภอหัวหิน และฟาร์มคุณพระวิจิตร ซึ่งจากประสบการณ์ที่คลุกคลีอยู่ในวงการไก่ชนมาตั้งแต่เด็ก
“ตนมองว่าไก่ชนไทยจะทำเงินให้กับประเทศไทยได้เหมือนเช่นมวยไทย เพราะปัจจุบันประเทศเพื่อนบ้านเรา หรือแม้แต่ประเทศญี่ปุ่น หันมาสนใจพัฒนาสายพันธุ์ แข่งกันเราแล้วต้องผลักดันขึ้นทะเบียนไก่ชนเป็นสัตว์เศรษฐกิจของประเทศ ส่งเสริมเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ชน”
การเพิ่มมูลค่าไก่พื้นเมือง มี 2 รูปแบบ คือ 1) การประกวด เป็นการเลี้ยงไก่พื้นเมืองเชิงอนุรักษ์ (ไก่โก้) เพื่อคัดเลือกตัวที่มีลักษณะดีตามมาตรฐานพันธุ์ หรืออุดมทัศนีย์ที่กำหนด โดยใช้ลักษณะทางเศรษฐกิจและลักษณะตามภูมิปัญญาไทยโบราณเป็นตัวชี้วัด ได้แก่ สายพันธุ์เหลืองหางขาวประดู่หางดำ เขียวหางดำ แดง ชี ด่าง เทา ลาย เป็นต้น การเพิ่มมูลค่าแบบนี้ นอกจากเป็นการรักษาสายพันธุ์ดีไก่พื้นเมืองไทย ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว ยังเป็นการรักษาภูมิปัญญาไทยที่ว่า “ไก่งามตามตำรามักเป็นไก่เก่งเสมอ” และเพิ่มมูลค่าให้ไก่บ้าน สืบสานภูมิปัญญาไทย นำรายได้สู่ครัวเรือน โดยตลาดไก่ประกวดที่สำคัญในต่างประเทศ ได้แก่ คูเวต บาห์เรน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นต้น ราคาตัวละ 40,000-100,000 บาท
การประกวดตัดสินไก่พื้นเมือง ส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับเพศผู้หรือพ่อพันธุ์เป็นหลัก เป็นการคัดเลือกพันธุ์ตามอุดมทัศนีย์ที่กำหนดไว้ เพื่อนำไปใช้ปรับปรุงพันธุ์กับแม่พันธุ์สายพันธุ์เดียวกัน จนได้ลูกไก่ที่มีลักษณะที่ใกล้เคียงกับพ่อพันธุ์มากที่สุด อันเป็นการรักษาสายพันธุ์แท้ไก่พื้นเมืองให้คงอยู่ ไม่เกิดการปนเปื้อนของสายเลือดอื่นจนหาลักษณะเดิมไม่ได้ หรือเป็นการอนุรักษ์สายพันธุ์ดั้งเดิมให้คงอยู่นั่นเอง
2) การแข่งขันหรือการประลอง เป็นการเลี้ยงไก่พื้นเมืองเชิงกีฬา (ไก่เก่ง) เพื่อคัดเลือกสายพันธุ์ การชนไก่มีมาแต่โบราณแล้วตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ถือว่าเป็นกีฬาในวังของชนชั้นสูง ไก่ชนจึงมีความเกี่ยวพันกับพระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์ อาทิ ไก่เหลืองหางขาวกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไก่เขียวพาลีกับพระยาพิชัยดาบหัก ไก่ประดูแสมดำกับพระเจ้าเสือ เป็นต้นการเลี้ยงไก่พื้นเมืองเชิงกีฬา (ไก่เก่ง) จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับชั้นเชิงการต่อสู้ของไก่พื้นเมืองแต่ละสายพันธุ์ ไก่ที่ชนะการต่อสู้ จะมีราคาเพิ่มขึ้นตามจำนวนครั้งของการชนะคู่ต่อสู้ในแต่ละครั้ง การเลี้ยงไก่แบบเพิ่มมูลค่าจากชั้นเชิงต่อสู้ นอกจากจะมีตลาดแพร่หลายในประเทศแล้ว ตลาดต่างประเทศก็นิยมไก่ชนจากประเทศไทยเพราะมีชั้นเชิงการต่อสู้หลายรูปแบบ ฉลาด ไหวพริบดี อดทน โดยเฉพาะประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น ส่วนใหญ่ส่งออกแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยไปพักที่มาเลเซียก่อน ราคาตัวละ 10,000-100,000 บาท จึงสามารถนำเงินตราเข้าประเทศได้ปีละหลายล้านบาท
“สำหรับคนที่อยากจะทำอาชีพ เพาะพันธ์ไก่ชนต้องไม่มีความโลภ ต้องศึกษาถึงการวิธีการเลี้ยง โรค อาหาร ให้ดี เช่น ต้องเลี้ยงไก่ชนในสถานที่ที่ถูกสุขลักษณะอย่างไร ไก่ชนไม่ชอบอากาศหนาว การเคลื่อนย้ายต้องย้ายอย่างไร ยุงก็ทำให้เป็นโรคฝีดาษได้ การที่จะได้ไก่ชนพันธุ์ดี นั้น ต้องมีแม่พันธุ์ดีและพ่อพันธุ์ที่มีชั้นเชิง ตลอดระยะเวลา 20 กว่าปี ตนส่งเสริมการพัฒนาสายพันธุ์ ไก่ชน ทั้งด้านการกีฬา วัฒนธรรม และความสวยงาม รวมถึงการแลกเปลี่ยนซื้อขายระหว่างประเทศ ตนอยากให้เห็นไก่ชนเป็นสัตว์เศรษฐกิจ คนที่เลี้ยงไก่ชน น่าจะเป็นเศรษฐีได้ และอยากให้เปิดใจกับกีฬาไก่ชน เพราะเป็นสัตว์ที่มีมูลค่าเพิ่มเลี้ยงเป็นรายได้เสริมหรืออาชีพหลักได้”
ทั้งนี้ในแต่ละครั้งที่มีการจัดการแข่งขันไก่ชน ส่งผลให้มีการแพร่สะบัดของเงินสด เพราะนำเข้ารายได้ให้กับพื้นที่นั้นๆ โดยการจัดทำการแข่งขันไก่ชนในแต่ละพื้นที่นั้น จะต้องมีการจัดทำโครงการท่องเที่ยว รวมถึงการขนส่ง ที่เป็นการเพิ่มค่าให้กับสินค้าและบริการต่างๆ ซึ่งส่งผลให้เกิดภาษีในพื้นที่นั้นๆ และส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจในพื้นที่นั้นๆ โดยรวมแล้วการจัดการแข่งขันไก่ชน มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่สร้างงานและมีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น
อย่างไรก็ดี จากการอ้างอิงตัวเลขของสมาคมอนุรักษ์และพัฒนาไก่พื้นเมืองไทยปัจจุบันมีเกษตรกรเลี้ยงไก่ชนราว 2.6 ล้านคน เลี้ยงไก่ชนมากกว่า 18 ล้านตัว คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ 9.8 พันล้านบาท และส่งออกปีละ 60 ล้านบาท นอกจากนี้ยังเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจทางด้านเกษตรกรรมอีกด้วย โดยไก่ชน 1 ตัว กินข้าวเปลือกวันละ 50 กรัม ฉะนั้นใน 1 ปี ต้องใช้ข้าวเปลือก 332,950 ตัน คิดที่ข้าวเปลือกตันละ 10,000 บาท จะต้องใช้ข้าวเปลือกคิดเป็นมูลค่าถึง 3,330 ล้านบาท